วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เมื่อพูดถึงคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เราทุกคนคงรู้จักคอมพิวเตอร์กันดีอยู่แล้ว แต่คงไม่ค่อยรู้จักหรือเข้าใจเกี่ยวกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เท่าไหร่นัก วันนี้จะเข้าใจแจ่มแจ้งแน่นอน.....

คอมพิวเตอร์ (Computer) คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electrinic Device) ที่ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ซึ่งมนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่างๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญของคอมพิวเตอร์คือ การที่สามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง
การทำงานของคอมพิวเตอร์ มี 3 ขั้นตอน ดังนี้

        ขั้นตอนที่ 1 : รับข้อมูลเข้า (Input)
เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพ หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น
        ขั้นตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อมูล (Process)
เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่
ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม
นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุดหรือน้อยที่สุด เป็นต้น
        ขั้นตอนที่ 3 : แสดงผลลัพธ์ (Output)
เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า " จอมอนิเตอร์ (Monitor)” หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้
เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เรียกว่า  “ 4 Special ” ดังนี้
1. หน่วยเก็บ (Storage) หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็น
จุดเด่นทางโครงสร้าง และเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย
2. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed)
โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด
เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน
3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่ง และข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น
4. ความน่าเชื่อถือ (Sure) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคำสั่ง และข้อมูลที่มนุษย์กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน
 
 
ส่วนที่ถามว่าระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร?
 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิลหรือสื่ออื่นๆ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้ในกรณีที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง เราเรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host)” และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาเชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)” ระบบเครือข่ายจะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน เพื่อการติดต่อสื่อสาร เราสามารถส่งข้อมูลภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆนั้น อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้งานในแวดวงต่างๆ
 

 ระบบเครือข่ายชนิดต่างๆ
ระบบเครือข่าย สามารถเรียกได้หลายวิธี เช่น ตามรูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) เช่น แบบบัส (bus) , แบบดาว (star) , แบบวงแหวน (ring) หรือจะเรึยกตามขนาดหรือระยะทางของระบบก็ได้ เช่น แลน (LAN) , แวน (WAN) , แมน (MAN) นอกจากนี้ระบบเครือข่ายยังสามารถเรียกได้ตามเทคโนโลยีที่ไช้ในการส่งผ่านข้อมูล เช่น เครือข่าย TCP/IP , เครือข่าย IPX , เครือข่าย SNA หรือเรียกตามชนิดของข้อมูลที่มีการส่งผ่าน เช่น เครือข่ายเสียงและวิดีโอ และเรายังสามารถจำแนกเครือข่ายได้ตามกลุ่มที่ใช้เครือข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต (Internet) , เอ็กซ์ตร้าเน็ต (Extranet) , อินทราเน็ต (Intranet) , เครือข่ายเสมือน (Virtual Private Network) หรือเรียกตามวิธีการเชื่อมต่อทางกายภาพ เช่น เครือข่ายเส้นใยนำแสง , เครือข่ายสายโทรศัพท์ , เครือข่ายไร้สาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เราสามารถจำแนกระบบเครือข่ายได้หลากหลายวิธีตามแต่ว่าเราจะพูดถึงเครือข่ายนั้นในแง่มุมใด เราจำแนก ระบบเครือข่ายตามวิธีที่นิยมกัน 3 วิธีคือ รูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) , รูปแบบการสื่อสาร (Protocol) และ สถาปัตยกรรมเครือข่าย (Architecture)
การจำแนกระบบเครือข่ายตามรูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) จะบอกถึงรูปแบบที่ทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในเครือข่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งมีรูปแบบที่นิยมกัน 3 วิธีคือ
1. แบบบัส (bus)
 
ในระบบเครือข่ายโทโปโลยีแบบ BUS นับว่าเป็นแบบโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุด มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือสามารถติดตั้งระบบ ดูแลรักษา และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ต้องใช้เทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อน ลักษณะการทำงานของเครือข่ายโทโปโลยีแบบ BUS คืออุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลัก ที่เรียกว่า บัส (BUS)” เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนด หนึ่งภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่งจะถูกส่งเข้าสู่สายบัสในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะประกอบด้วยตำแหน่งของผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูลการสื่อสารภายในสายบัสจะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทำหน้าที่ดูดกลืนสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับเข้ามายังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูลอื่นๆที่เดินทางอยู่บนบัส สัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง เมื่อเข้าสู่บัสจะไหลผ่านไปยังปลายทั้ง 2 ข้างของบัส แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัส จะคอยตรวจดูว่าตำแหน่งปลายทางที่มากับแพ็กเกจข้อมูลนั้น ตรงกับตำแหน่งของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข้อมูลนั้นเข้ามาสู่โหนดตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลนั้นผ่านไป จะเห็นว่าทุกๆโหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียงโหนดเดียวเท่านั้น ที่จะรับข้อมูลนั้นไปได้
การควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ BUS มี 2 แบบคือ แบบควบคุมด้วยศูนย์กลาง (Centralized) ซึ่งจะมีโหนดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ การควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุกๆโหนดภายในเครือข่ายจะมีสิทธิในการควบคุมการสื่อสารแทนที่จะเป็นศูนย์กลางควบคุมเพียงโหนดเดียว ซึ่งโดยทั่วไปคู่โหนดที่กำลังทำการส่ง-รับ ข้อมูลกันอยู่จะเป็นผู้ควบคุมการสื่อสารในเวลานั้น

2. แบบดาว (star)
เป็นหลักการส่งและรับข้อมูลเหมือนกับระบบโทรศัพท์ การควบคุมจะทำโดยสถานีศูนย์กลาง ทำหน้าที่เป็นตัวสวิตชิ่ง ข้อมูลทั้งหมดในระบบเครือข่ายจะต้องผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง (Center Comtuper) เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR) หลายแฉก โดยมีศูนย์กลางของดาวหรือฮับเป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่ายศูนย์กลาง จึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด นอกจากนี้ศูนย์กลางยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลอีกด้วย
การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆโหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบ STAR เป็นโทโปโลยีอีกแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ข้อดีของเครือข่ายแบบ STAR คือการติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์กลางสามารถตัดโหนดนั้นออกจากการสื่อสารในเครือข่ายได้

3. แบบวงแหวน (ring)
เครือข่ายแบบ RING เป็นการส่งข่าวสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปในทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน หรือ RING นั่นเอง โดยไม่มีจุดปลายหรือเทอร์มิเนเตอร์ เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือสเตชั่นจะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด 1 เครื่อง ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการสื่อสารในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูลที่ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดนั้น ส่งต่อไปให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ของโหนดถัดไป

โทโปโลยีแบบผสม (Hybridge Topology)
เป็นเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลแบบผสมระหว่างเครือข่ายแบบใดแบบหนึ่งหรือมากกว่า เพื่อความถูกต้องแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและภาพรวมขององค์กร

ที่มา คอมพิวเตอร์ 








 
 
 
 

เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ(3)

เมื่อเห็นรูปแล้วหลายๆคนอาจจะงงว่านี่คืออะไรหรือบางคนอาจจะเห็นเหล่าดาราหลายๆคนที่ชอบโพสภาพในเชิงแบบนี้....วันนี้เราจะได้รู้คำตอบทั้งหมดของรูปภาพนี้
ภาพที่เห็นคือ การเล่นโยคะฟลายค่ะ
และวันนี้ดิฉันก็มีวีดีโอที่อธิบายเกี่ยวกับโยคะฟลายโดยย่อาฝากด้วยค่ะ....ไปชมกันเลย!!!


แล้วโยคะฟลายคืออะไร ?
“Yoga Fly” เป็นการออกกำลังกายในรูปแบบ fusion technique ที่ผสมผสาน 5 ศาสตร์ไว้ด้วยกัน ได้แก่ Yoga (โยคะ), Pilates (พิลาตีส), Dance (การเต้น), Calisthenics (การออกกำลังการที่เน้นการสร้างความแข็งแรงและสร้างสัดส่วนที่สวยงาม) และ Aerial Art (การแสดงที่เหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศ) เป็นกีฬาที่เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะผอม หรืออ้วน ก็สามารถเล่นได้เหมือนกัน เพราะ ใช้ผ้าไหมพิเศษ Hammock ที่รองรับน้ำหนักตัวได้ถึง 1,000 กิโลกรัม จึงหมดกังวลในเรื่่องของความปลอดภัยไปได้เลย ด้วยการขึงเชือกที่แน่นหนาทำให้ถ่วงท่าของการบินไม่ยากเกินกว่าความสามารถที่แต่ละคนจะทำได้คะ

ประโยชน์ของโยคะฟลาย ?

กีฬานี้ให้ทั้งความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ฝึกเรื่องสมาธิ ช่วยในเรื่องของการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกระดูกสันหลัง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบสมองให้ดีมากยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่เป็นโรคออฟฟิตซินโดรม การเล่น “Yoga Fly” จะช่วยลดอาหารปวหลัง ปวดเมื่อยจากกล้ามเนื้ออักเสบ
นอกจากนี้ “Yoga Fly” ยังสามารถช่วยในเรื่องของการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ช่วยทำให้สาวๆ ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับสรีระของแต่ละบุคคลให้มีความสมดุล ทำให้ร่างกายดูผอม เพรียวกระชับ และสมส่วนมากยิ่งขึ้น หากเล่นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยสร้างความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวพรรณอีกด้วยคะ

 









อ้างอิง
http://yogaflybangkok.com/


















วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรื่อง review / แนะนำการใช้โปรแกรม

วันนี้้เราจะมารีวิวและแนะนำการใช้โปรแกรม we chat เชื่อว่าหลายๆคนคงจะรู้จักโปรแกรมนี้อยู่แต่ในสำหรับบางคนอาจจะไม่รู้จัก...
นี่แหละค่ะรูปร่างหน้าตาของเจ้าโปรแกรม We chat
และวันนี้ดิฉันก็จะมาแนะนำวิธีการใช้โปรแกรม We chat ไปดูกันเลย!!!!!
 
 
 

วิธีสมัคร WeChat

จะเห็นได้ว่า WeChat  มีหลาย OS ให้เราเลือกแต่วิธีการสมัครไม่ว่าจะเป็น OS ไหนก็จะคล้ายๆกันหมด คือเมื่อดาวน์โหลดและติดตั้งเสร็จแล้วให้เปิดตัวแอพขึ้นมา จะได้ดังภาพด้านล่าง
ให้คลิกที่ สมัครสมาชิก ดังภาพด้านบน

ต่อมา ให้คลิกที่ สมัครสมาชิก ดังภาพด้านบน

หลังจากนั้นจะมี SMS ให้เราเอา Code มายืนยันในแอพ ดังภาพด้านล่าง

เอา Code นี้ไปใส่ไว้หน้า แอพ WeChat
แล้วจะได้ดังภาพ



 เริ่มใช้งาน WeChat กด Set a profile photo  ! เพื่อทำการตั้งค่ารูป

 
เลือกเอาว่าอยากใส่รูปของเราแบบไหน จะถ่ายหรือจะเอามาจาก อัลบั้ม
 
 
 
จนถึงตอนนี้ เพื่อนๆคงจะรู้จักบริการ Voice Call และ Video Call ที่ทําผ่านแอพกันเกือบทุกคนละนะคะ ซึ่งบริการนี้ทําให้พวกเราประหยัดค่าใช้จ่ายในการโทรคุยมุ้งมิ้งกับแฟน หรือโทรข้ามประเทศกลับมาอ้อนพ่ออ้อนแม่ได้เป็นระยะเวลานานๆ แบบไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เพียงมีอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ก็ใช้งานได้ทันที แต่ปัญหานึงที่เจอกันบ่อยๆ คือ คุณภาพของสัญญานหรือฟีเจอร์ใช้งานอาจจะไม่ครบเท่าไหร่นัก วันนี้จึงอยากจะขอแนะนํา VDO Call ของ Wechat ให้ได้ลองใช้กันเปรียบเทียบกับตัวปัจจุบันดูค่ะ
 
 
วิธีใช้งานก็ไม่ยากอะไร แค่เข้าไปที่หน้าของคนที่เราต้องการจะคุยด้วยแล้วก็กด + ก็จะมีเมนู
วิดีโอคอลขึ้นมาให้เลือกละ

จะใช้เป็น VDO Call หรือโทรด้วยเสียงปกติก็ได้ง่ายๆ เพียงแค่เลือกปิดกล้องก็กลายเป็นคุยผ่านเสียงปกติ เพียงกด “สลับเป็นวอยซ์คอล” ส่วนคนรับ ถ้าหนังหน้าหรือสภาพแวดล้อมยังไม่พร้อมให้ปลายสายเห็น ก็กด “ยอมรับเสียง” ก็ได้

เจ๋งสุดๆไปเลยกับโปรแกรมที่ีความคล้ายไลน์แต่มีความแปลกใหม่กว่ายังไงลองไปใช้กันดูนะคะ







อ้างอิง
- http://www.zoneza.com/wechat-view9647.htm
- http://droidsans.com/wechat-video-call
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 






















































วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ข้อสอบ o-net

วิเคราะห์ข้อสอบ O-net คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ

  วันนี้เราจะมาดูวิธีการวิเคราะห์ข้อสอบ O-net วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กันนะคะว่าข้อสอบ O-net วิชาคอมพิวเตอร์นั้น มีความยากง่ายแค่ไหน และเราจะสามารถทำได้มั้ย แต่วันนี้เรามีมาให้ดูเพียงแค่ 5 ข้อเท่านั้น และถ้าใครอยากรู้พิ่มเติมคงจะต้องลองหามาฝึกกันเองนะคะ.....เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ

1. การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Commerce) หมายถึงข้อใด
          1.การสั่งโทรเลข สั่งซื้อสินค้า
          2.การส่งแฟกซ์ติดต่อการค้า
          3.การใช้บัตรเครดิตชำระเงินค่าสินค้า
          4.การค้าขายที่กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เฉลยข้อ  4
     วิเคราะห์
          การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การดำเนินธุรกิจทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการ ผ่านระบบสื่อสารโทรคมนาคมหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์

2. ไฟล์ประเภทใดในข้อต่อไปนี้เก็บข้อมูลในลักษณะตัวอักษร
          1.  ไฟล์เพลง  MP3 (.mp3)
          2.  ไฟล์รูปประเภท  JPEG (.jpg)
          3.  ไฟล์แสดงผลหน้าเว็บ (.html)
          4.  ไฟล์วีดีโอประเภท  Movie (.mov)
เฉลยข้อ  3
     วิเคราะห์
          MP3 >>> เป็นไฟล์เสียงดิจิตอลที่สามารถเปิดและดูได้โดยโปรแกรมเล่นไฟล์เสียงต่างๆ
          JPG >>> เป็นประเภทไฟล์ภาพแรสเตอร์และรูปแบบไฟล์ใช้จัดเก็บภาพถ่ายดิจิตอลและภาพด้วยการสนับสนุนสี 24 บิต
          HTML >>> เป็นภาษาหลักที่ใช้ในการเขียนเว็บเพจ
          MOV >>> เป็นข้อมูลวิดีโอที่ถูกเก็บไว้ในรูปแบบ MOV

3. ผู้ประกอบอาชีพเป็นผู้พัฒนาเว็บไซต์ต้องเชี่ยวชาญความรู้ด้านใดบ้างจากตัวเลือกต่อไปนี้.
     ก.  ฮาร์แวร์คอมพิวเตอร์               ข.  ระบบปฎิบัติการ
     ค.  เว็บเซิร์ฟเวอร์                          ง.  HTML
     จ.  ระบบฐานข้อมูล                      ฉ.  ภาษาจาวา(Java)
          1.  ข้อ  ก และ ค               
          2.  ข้อ  ข  และ  จ
          3.  ข้อ  ค  และ  ง
          4.  ข้อ  ค  และ  ฉ
เฉลยข้อ  3
     วิเคราะห์
          เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web browser) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศ ที่จัดเก็บในหน้าเว็บที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษา HTML ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือ Web browser หรือ ระบบคลังข้อมูลอื่นๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนสื่อในการติดต่อกับเครือข่าย หรือ Network ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ world wide web ”
4. ข้อใดเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเมื่อค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาทำรายงาน
          1.  คัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์
          2.  ใช้เนื้อหาจากกระดานสนทนา (web board) มาใส่ในรายงาน
          3.  นำรูปภาพจากเว็บไซต์มาใส่ในรายงาน
          4.  อ้างอิงชื่อผู้เขียนบทความ
เฉลยข้อ  4
     วิเคราะห์
          ข้อ 1 >>> ไม่มีการอ้างอิงที่มาให้ถูกต้อง
          ข้อ 2 >>> ไม่ควรปฏิบัติ เพราะเนื้อหาที่นำมาเป็นเพียงความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งอาจใช้ภาษาในระดับไม่เป็นทางการ 
          ข้อ 3 >>> ไม่มีการอ้างอิงที่มาให้ถูกต้อง
          ข้อ 4 >>> มีการอ้างอิงชื่อจากบทความนั้นๆ ถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้แต่งเป็นอย่างยิ่ง
          ดังนั้น เมื่อเราวิเคราะห์ดูแล้วจะพบว่าการอ้างอิงชื่อผู้เขียน เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะสมในการค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมา ทำรายงาน จึงสรุปได้ว่าข้อ 4 ถูกต้อง
5. ลิขสิทธิ์โปรแกรมประเภทรหัสเปิด (Open Source) อนุญาตให้ผู้ใช้ทำอะไรได้บ้าง.
     ก.  นำโปรแกรมมาใช้งานโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
     ข.  ทดลองใช้โปรแกรมก่อนถ้าพอใจจึงจ่ายค่าลิขสิทธิ์
     ค.  แก้ไขปรับปรุงโปรแกรมเองได้
          1.  ข้อ  ก  กับ  ข้อ               2.  ข้อ    กับ  ข้อ 
          3.  ข้อ    อย่างเดียว              4.  ข้อ    อย่างเดียว
เฉลยข้อ  1
     วิเคราะห์
          Open  Source  คือ  ซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ มีการเปิดเผยต้นฉบับรหัสซอฟต์แวร์ (Source code) และอนุญาตให้นำไปเผยแพร่ต่อได้อย่างเสรี และสามารถให้สาธารณะนำไปพัฒนาต่อยอดได้อีก ทำให้เกิดความร่วมมือกันทำงานอย่างไร้พรมแดนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเสรี
ที่มา :  ข้อสอบ O-net
           ลิขสิทธิ์ประเภทรหัสเปิด

 

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรื่องที่นักเรียนสนใจ 2

เชื่อว่าผู้ชายหลายๆคนชอบรถกันอยู่แล้ว....
แน่นอนว่าจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากรถที่นิยมกันมากและเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน
นั่นก็คือ...เมอร์เซเดส เบนซ์ หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า เบนซ์ นั่นเองค่ะ


สวยถูกใจหลายๆคนกันเลยทีเดียวใช่ไหมละคะ ?
ซึ่งวันนี้เราจะมานำเสนอโชว์รูมเบนซ์ที่มีรถสวยราคาก็ย่อมเยาถูกและดีที่สุดแถมยังมีให้เลือกหลากหลายมากมายจนหนุ่มๆหลายๆท่านต้องเอ่ยปากว่าเพลินกับการชมรถกันเลยทีเดียวค่ะ

และก็จะเป็นที่ไหนไม่ได้เลยนอกจาก Benz NK หรือที่มีชื่อเต็มว่า _NK AUTO IMPORT นั่นเองค่ะ


แค่เห็นโชว์รูมก็ร้อง ว๊าว กันแล้ว สวยไม่มีที่ติกันเลยทีเดียว

เรามารู้จักเจ้าของและประวัติของโชว์รูมกันเลยดีกว่าค่ะ
       

                 สองพ่อลูก BENZ NK
46ปีก่อน คุณ ก่อเกียรติ กฤษดาธานนท์ ได้สร้าง ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ให้วงการรถยนต์ โดยก่อตั้งอาณาจักร MCC–ศูนย์กลางรถยนต์มหานคร ถึง 6 บริษัท เช่น Benz MCC, MCC USED CAR มีพนักงานพันคน มีรถจอดพรึ่บให้เลือกกว่า 700 คัน ยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก เสี่ยก่อเกียรติ เพราะจัดโปรโมชั่น มียอดขายปีละ 3,000 คัน จนปี 2540 ที่ฟองสบู่แตก MCC ก็ต้องปิดไป แต่ด้วยความที่มีเลือดนักสู้ ปี 2541 คุณก่อเกียรติ ได้กลับมาเปิด BENZ NK แบบนับหนึ่งใหม่ มีรถไม่ถึง 10 คัน พนักงานไม่กี่คน ด้วยความซื่อสัตย์ BENZ NK ซึ่งย้ายไปถนนกาญจนาภิเษก จึงเติบโตเร็ว ในช่วงนี้ ลูกชายคนเก่ง คุณนุ–พิตินันทน์ ก็จบจากอเมริกามาช่วย เริ่มจากเป็นพนักงานขาย หาประสบการณ์อยู่ 10 ปี ถึงได้เป็นกรรมการผู้จัดการ

ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ คุณนุ ซึ่งอยู่กับรถยนต์ตั้งแต่เกิด และครอบครัวเป็นดีลเลอร์รถเบนซ์ มีโนว์ฮาวรถยนต์ดี ที่สำคัญคือมีฐานความเชื่อมั่นสูง ปี 2555 คุณนุ จึงทำโปรเจกต์ Revolution โดยมีบริการครบวงจร เช่น โชว์รูม Benz NK ที่มีรถเบนซ์ใหม่นำเข้าให้เลือกมากที่สุด ถึง 150 คัน, NK Service Center ศูนย์ซ่อมกว่า 50 ช่องซ่อม, NK Quality Used Car เบนซ์มือสอง และ NK Com– plete Car Zone แผนกรถแต่ง 5 แบรนด์ดังระดับโลก ที่ได้ลิขสิทธิ์เป็นทางการ

17 ก.พ. นี้ คุณนุ จะแกรนด์ โอเพนนิ่ง โดยมีไฮไลต์ คือ เบนซ์สปอร์ต ซุปเปอร์คาร์ ที่นำมาเปิดตัวครั้งแรกในไทย 3 รุ่น หนึ่งในนั้นคือ The New SLS AMG BLACK SERIES Limited Edition ซึ่งผลิต 300 คันทั่วโลก เครื่องยนต์ V8 6.3 ลิตร 631 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. ราคา 30 กว่าล้าน และเป็นพวงมาลัยขวาคันแรกของโลก--คุณก่อเกียรติ นั้น ปลื้มน้ำตาซึมไปหลายรอบ คิดถึงความหลัง เมื่อเห็นอาณาจักร BENZ NK ที่ คุณนุ สร้างอย่างยิ่งใหญ่เหมือนยุค MCC ของตัวเอง









อ้างอิง
https://www.thairath.co.th/content/189928

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์

ทุกวันนี้เราได้ใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันมากขึ้นแต่เพื่อนๆทราบหรือไม่ว่าคอมพิวเตอร์ของเรานั้นมีภาษาของมันด้วย....มารู้จักกันเลย

ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์

16ก.ย.

ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์คือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำคัญคือหากไม่มีภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากขาดชุดคำสั่งในการทำงาน
คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้จะต้องมีการเขียนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น จะต้องเขียนไปตามกฎเกณฑ์ของภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
1. ภาษาเครื่อง (Machine language)
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)
3. ภาษาชั้นสูง (High-level language)หรือ ภาษารุ่นที่ 3 (3GL:Third Generation Language)
4. ภาษาชั้นสูงมาก (Very high-level language)หรือภาษารุ่นที่ 4 (4GL)
1. ภาษาเครื่อง (Machine language)
เป็นภาษาพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ แต่ละคำสั่งประกอบขึ้นจากกลุ่มตัวเลข 0 และ 1 ซึ่งเป็นเลขฐานสอง
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)
เป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ข้อความ แทนกลุ่มของตัวเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากขึ้น การทำงานของโปรแกรมจะต้องทำการแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้ตัวแปลที่เรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (Assembler)
3. ภาษาชั้นสูง (High-level language) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น โดยมีลักษณะเหมือนกับภาษาอังกฤษทั่วไป ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับฮาร์แวร์แต่อย่างใด ภาษานี้จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเครื่องเช่นกัน เรียกตัวแปลนี้ว่า คอมไพเลอร์ (compiler)หรือ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter)อย่างใดอย่างหนึ่ง
 1)  ภาษาฟอร์แทรน (FORmula TRANstation : FORTRAN)
จัด เป็นภาษาระดับสูงที่เก่าแก่ที่สุด ได้รับการคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรก ราว พ.ศ. 2497 โดยบริษัท ไอบีเอ็ม เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการคำนวณ เช่น งานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และงานวิจัยต่าง ๆ เนื่องจากแนวคิดในการเขียนโปรแกรมในระยะหลังนี้เปลี่ยนมานิยมการเขียน โปรแกรมแบบโครงสร้างมากขึ้น ลักษณะของคำสั่งภาษาฟอร์แทรนแบบเดิมไม่เอื้ออำนวยที่จะให้เขียนได้ จึงมีการปรับปรุงโครงสร้างของภาษาฟอร์แทรนให้สามารถเขียนโปรแกรมแบบโครง สร้างขึ้นมาได้ในปี พ.ศ. 2509 เรียกว่า FORTRAN 66 และในปี พ.ศ. 2520 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (American National Standard Institute หรือ ANSI) ได้ปรับปรุง FORTRAN 66 และยอมรับให้เป็นภาษาฟอร์แทรนที่เป็นมาตรฐาน เรียกว่า FORTRAN 77 ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีตัวแปลภาษานี้
     2)  ภาษาโคบอล (Common Business Oriented Language : COBOL)
เป็น ภาษาที่พัฒนาขึ้นในราว พ.ศ. 2502  ต่อมาได้รับการปรับปรุงจากคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของหน่วยงานธุรกิจและ รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา เป็นภาษาโคบอลมาตรฐานในปี พ.ศ. 2517 เป็นภาษาที่เหมาะสมสำหรับงานด้านธุรกิจ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ส่วนมากมีโปรแกรมแปลภาษาโคบอล
     3)  ภาษาเบสิก (Beginner’s All – purpose Symbolic Instruction Code : BASIC)
เป็น ภาษาที่ได้รับการคิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยดาร์ทมัธ (Dartmouth College) และเผยแพร่เป็นทางการในปี พ.ศ. 2508ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สอนเพื่อใช้สอน เขียนโปรแกรมแทนภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาอื่น เช่น ภาษาฟอร์แทรน ซึ่งมีขนาดใหญ่และต้องใช้หน่วยความจำสูงในการทำงาน ซึ่งไม่เหมาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้น ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่มีขนาดเล็ก เป็นตัวแปลภาษาชนิดที่เรียกว่าอินเทอร์พรีเตอร์
นอก จากนี้    ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเขียน    ซึ่งผู้เขียนจะสามารถนำไปประยุกต์กับการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทุกสาขาวิชา    ผู้ที่เพิ่งฝึกเขียนโปรแกรมใหม่ ๆ หรือผู้ที่ไม่ใช่นักเขียนโปรแกรมมืออาชีพ แต่เป็นเพียงวิศวกรหรือนักวิจัย จะสามารถหัดเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกได้ในเวลาไม่นานนัก ปกติภาษาเบสิกส่วนใหญ่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์
     4) ภาษาปาสคาล (Pascal)
ตั้ง ชื่อตามนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขโดยใช้เฟืองหมุน ภาษาปาสคาลคิดขึ้นในปี พ.ศ. 2514 โดยนิคลอส เวียซ (Niklaus Wirth) ศาสตราจารย์วิชาคอมพิวเตอร์ชาวสวิต ภาษาปาสคาลได้รับการออกแบบให้ใช้ง่ายและมีโครงสร้างที่ดี จึงเหมาะกับการใช้สอนหลักการเขียนโปรแกรม ปัจจุบันภาษาปาสคาลยังคงได้รับความนิยมใช้ในการเรียนเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์
   5)  ภาษาซีและซีพลัสพลัส (C และ C++)
ภาษา ซีเป็นภาษาที่พัฒนาจากห้องปฏิบัติการเบลล์ของบริษัทเอทีแอนด์ทีในปี พ.ศ. 2515 หลังจากที่พัฒนาขึ้นได้ไม่นาน ภาษาซีก็กลายเป็นภาษาที่นิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมมาก และมีใช้งานในเครื่องทุกระดับ ทั้งนี้เนื่องจากภาษาซีได้รวมเอาข้อมูลของภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำเข้า ไว้ด้วยกัน กล่าวคือเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์ที่เข้าใจง่าย ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษาระดับสูงทั่วไป แต่ประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงานดีกว่ามาก เนื่องจากมีการทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ สามารถทำงานได้ในระดับที่เป็นการควบคุมฮาร์ดแวร์ได้มากกว่าภาษาระดับสูงอื่น ๆ ดังจะเห็นว่าภาษาซีเป็นภาษาที่สามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการได้ เช่น ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
นอก จากนี้เมื่อแนวคิดของการเขียนโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming : OOP) ได้เข้ามามีบทบาทในวงการคอมพิวเตอร์มากขึ้น ภาษาซีก็ยังได้รับการพัฒนาโดยประยุกต์ใช้กับการเขียนโปรแกรมดังกล่าว เกิดเป็นภาษาใหม่ชื่อว่า “ภาษาซีพลัสพลัส” (C++)
   6)  ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic)
เป็น ภาษาที่พัฒนาต่อมาจากภาษาเบสิก  ใช้ไวยากรณ์บางส่วนของภาษาเบสิกในการเขียนโปรแกรม   แต่มีแนวคิดและวิธีการพัฒนาโปรแกรมที่แตกต่างจากภาษาเบสิกโดยสิ้นเชิง รวมทั้งการใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำก็แตกต่างกันมาก ทั้งนี้เนื่องจากภาษาวิชวลเบสิกใช้แนวคิดที่ต่างออกไป
  7)  การเขียนโปรแกรมแบบจินตภาพ (Visual Programming)
ภาษา นี้พัฒนาขึ้นโดยบริษัทไมโครซอฟต์ออกแบบเพื่อเขียนโปรแกรมที่สามารถใช้งานได้ บนระบบปฏิบัติการแบบจียูไอ เช่น ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์วินโดวส์ มีการติดต่อกับผู้ใช้โดยใช้รูปภาพ การเขียนโปรแกรมทำได้ง่ายกว่าการเขียนโปรแกรมแบบเก่ามาก
   8)  ภาษาจาวา (Java)
พัฒนา ขึ้นในปี พ.ศ. 2534 โดยบริษัทซันไมโครซิสเตมส์ เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเขียนโปรแกรมและใช้งานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทและระบบ ปฏิบัติการทุกรูปแบบ ในช่วงแรกที่เริ่มมีการนำภาษาจาวามาใช้งานจะเป็นการใช้งานบนเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต เป็นภาษาที่เน้นการทำงานบนเว็บ แต่ปัจจุบันสามารถสามารถนำมาประยุกต์สร้างโปรแกรมใช้งานทั่วไปได้
นอก จากนี้ เมื่อเทคโนโลยีของการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ปาล์มท็อป หรือ แม้แต่โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและใช้งาน ระบบเวิลด์ไวด์เว็บได้ ภาษาจาวาก็สามารถสร้างส่วนที่เรียกว่า “แอปเพล็ต” (Applet) ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวข้างต้น เรียกใช้งานจากเครื่องที่เป็นแม่ข่าย (Server) ได้
   9)  ภาษาเดลฟาย (Delphi)
เป็น ภาษาที่ได้รับความนิยมภาษาหนึ่ง แนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษาเดลฟายเหมือนกับแนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษาวิ ชวลเบสิก คือเป็นการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพ แต่ภาษาพื้นฐานที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมจะเป็นภาษาปาสคาล  ในการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพนี้มีคอมโพเนนต์ (Component) ที่สามารถใช้เป็นส่วนประกอบเพื่อสร้างส่วนติดต่อผู้ใช้ที่เป็นแบบกราฟิก ทำให้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนามีความน่าสนใจและใช้งานง่ายขึ้น การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาเดลฟายจึงเป็นที่นิยมในการนำไปพัฒนาเป็นโปรแกรมใช้ งานมาก รวมทั้งภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะแก่การนำมาใช้สอนเขียนโปรแกรม
    4.  ภาษาระดับสูงมาก 
 เป็น ภาษาโปรแกรมยุคที่ 4 ซึ่งเป็นภาษาระดับสูงมาก จัดเป็นภาษาไร้กระบวนคำสั่ง หมายความว่าผู้ใช้ เพียงบอกแต่ว่าให้คอมพิวเตอร์ทำอะไร โดยไม่ต้องบอกคอมพิวเตอร์ว่าสิ่งนั้นทำอย่างไร เรียกว่าเป็นภาษาเชิงผลลัพธ์ คือเน้นว่าทำอะไร ไม่ใช่ทำอย่างไร ดังนั้นจึงเป็นภาษาโปรแกรมที่เขียนง่าย
     5. ภาษาธรรมชาติ 
 เป็น ภาษาโปรแกรมยุคที่ 5 ซึ่งคล้ายกับภาษาพูดตามธรรมชาติของคน การเขียนโปรแกรมง่ายที่สุด คือการเขียนคำพูดของเราเองว่าเราต้องการอะไร ไม่ต้องใช้คำสั่งงานใดๆ เลย





อ้างอิง



https://kroobee.wordpress.com/2010/09/16/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C/








วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โซเชียลเน็ตเวิร์คกับนักเรียนและสังคมไทย

ก่อนอื่นเลยเราต้องมารู้จักก่อนว่า Social Network คือออะไร
โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ
 
 

โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ตามรูปแบบ แบ่งได้เป็น

1. Blog หรือ บล็อก คือเว็บไซต์รูปแบบหนึ่ง มาจากคำว่า Weblog (Website + Log) ซึ่งคำว่า Log ในที่นี้หมายถึง “ปูม” ดังนั้น Blog จึงมีลักษณะเป็นเว็บไซต์ที่จัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีเดียวกับปูม  มีการเรียงลำดับตามวันที่บันทึก  ข้อมูลใหม่ที่ Post จะอยู่บนสุด  ส่วนข้อมูลเก่าจะอยู่ล่างสุด  โดยบล็อกสมัยนี้ไม่ได้อยู่ลำพังเดี่ยวๆ แต่มีลักษณะเป็น Community ที่รวบรวม Blog หลายๆ Blog เข้าไว้ด้วยกัน  สามารถเชื่อมโยงผู้เขียน (Blogger) ได้เป็นสังคมขนาดใหญ่  ในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงผู้อ่านไว้กับผู้เขียนได้  โดยสามารถคอมเม้นต์บทความ  ติดตาม  หรือกดโหวตได้ เช่น Blogger เป็นต้น
 
2. ไมโครบล็อก (Microblog) เป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ใช้สำหรับส่งข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เพื่อบอกถึงสถานการณ์ และความเป็นไป ไมโครบล็อกที่มีผู้นิยมใช้บริการ เช่น Twitter
 
3. โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Social Network Website) คือเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 เป็นต้น เว็บพวกนี้มีจุดเด่นที่การแชร์คอนเท้นต์ ทั้งข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ บางเว็บรวมไปถึงบทความ เพลง และลิ้งค์  นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นในการแสดงความรู้สึก หรือมีส่วนร่วม เช่น การกดไลค์ (Like) การโหวต การอภิปราย (Discuss) และการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น

4. เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) เป็นเว็บที่ให้เราเก็บหน้าเว็บ หรือเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบ เพื่อเอาไว้เข้าชมทีหลัง แต่พอมาเป็นโซเชียลไซต์ เราจะสามารถแชร์ URL ของหน้าเว็บเหล่านั้น รวมถึงดูว่าคนอื่นเก็บหน้าเว็บอะไรไว้บ้าง เข้าชม และแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเว็บต่างๆ ได้
 
 
ซึ่งโดยส่วนใหญ่โซเชียลเน็ตเวิร์คที่มีบทบาทมากที่สุดของดิฉันและเพื่อนก็คือโซเชียเน็ตเวิร์คแบบเว็บไซต์  นั่นก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเฟสบุ๊คนั่นเอง
ซึ่งเฟสบุ๊คนี่แหละเป็นสิ่งที่คนไทยเรานิยมแชร์สิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย ความเห็นด้านต่างๆของสังคมหรือไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่างๆของเว็บไซต์ที่นำมาแชร์ลงในเฟสบุ้ครวมไปถึงการท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆที่ตนเองได้ไปกับครอบครัวหรือเพื่อนๆหลายคนมองว่าเฟสบุ๊คไม่มีประโยชน์แต่จริงๆแล้วเฟสบุ้คนั้นมีประโยชน์กับชีวิตประจำวันของเราและมีบทบาทกับชีวิตเรามากแต่คนมองภาพลักษณ์และใช้อย่างไม่ถูกวิธี  มาพูดถึงประโยชน์ของมันสำหรับของวัยรุ่นหรือกลุ่มนักเรียนกับเลยดีกว่า  เราสามารถคุยหรือติดต่อกับเพื่อนครูอาจาร์ยทางนี้ได้และสามารถส่งงานทางนี้ได้และในกรณีที่โทรศัพท์มือถือของเราไม่สามารถใช้วีดีโอคอลได้เฟสบุ้คนี่แหละช่วยให้เราติดต่อหรือโทรแบบเห็นหน้าได้โดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟนแพงๆเลยเพราะว่าเฟสบุ๊คได้พัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว ดังนั้นโซเชียลเน็ตเวิร์คจึงเข้ามามีบทบามสำคัญกับกลุ่มนักเรียนและสังคมไทยเป็นอย่างมาก